เพิ่งเล่นจบ #9: Avowed



ย้อนกลับไปปี 2020 เราได้เห็นตัวอย่างแรกของ Avowed เกมจากค่ายขึ้นหิ้งแต่บัคเยอะ อย่าง Obsidian Entertainment สึ่งค่ายนี้ก็ได้รวมตัวจี๊ดของซีน RPG ตะวันตกหลายๆ ท่าน อย่าง Josh Sawyer (Fallout: New Vegas, Pillars of Eternity) หรือ Tim Cain (Fallout, The Outer Worlds)
อย่างที่เรารู้กัน ค่ายนี้เป็นผู้สร้างงานที่เกมเมอร์หลายๆ ท่านรัก ไม่ว่าจะเป็น Neverwinter Nights 2, Fallout: New Vegas, South Park: The Stick of Truth หรือ ซีรี่ย์ Pillars of Eternity
และ Avowed ก็เป็นเกมที่อยู่ใน universe เดียวกันกับ Pillars of Eternity และเป็นภาค spin-off ของ Pillars of Eternity 2: Deadfire นั้นเอง

เกมนี้ได้ Carrie Patel นักเขียนเกมหลักของ Pillars of Eternity มาเป็นผู้กำกับ โดยมีการ supervise จากยอดฝีมืออย่าง Josh Sawyer ที่เพิ่งได้ปล่อย Pentiment ไป สึ่งเค้าก็เป็นผู้กำกับ Pillars of Eternity 1 และ 2 ด้วย
สิ่งที่เกมนี้แตกต่างจาก Pillars of Eternity ทั้งสองภาค นอกจากระบบเกมเพลย์ที่เป็น RPG แนว First Person และ Third Person ความแตกต่างที่ชัดเจนของเกมนี้คือ งบประมาณ เวลา และประสบการณ์ของทีมงาน ที่มีมากกว่าเดิมอย่างให้ได้ชัดเจน
ถ้าใครเป็นแฟน Obsidian จะรู้ดีว่า ค่ายนี้เคยเป็นเหมือนมือปืนรับจ้าง รับทำเกมจาก IP ที่มีอยู่แล้ว แต่หลายๆ ครั้งนั้น ปัญหาก็มักจะเกิดขึ้น ด้วย deadline ที่กระชั้นชิด หรืองบที่ไม่เยอะ ทำให้เกม Obsidian หลายๆ เกมนั้นจะมีบัคเยอะมาก และมีองค์สามที่ดรอปลง

แต่รอบนี้ด้วยการหนุนหลังของ Microsoft พร้อมกับสถานะของค่ายที่เสถียรขึ้นกว่ายุคก่อน ก็ทำให้ Avowed ยืนหยัดขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าจะมีการเริ่ม develop ใหม่ถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้สะท้านเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมงาน Dragon Age: The Veilguard (ยังเสียดายทีมนี้อยู่เลย :<) มันเป็นการโชว์ความเชื่อใจภายในทีม Obsidian และผู้กำกับหน้าใหม่
อีกอย่างคือถือว่าโชคดีมากที่ไม่โดน Microsoft เลย์ออฟ เพราะอีตาฟิลก็ใจหมาพอตัว
แต่ด้วยความที่ดีเลย์มานานแสนนานก็ทำให้คนเริ่มหวั่นๆ กับ footage ที่ดูโหวงๆ ก็ทำให้คนลุ้นบิดตูดเลยว่า เกมนี้จะออกมาเป็นยังไงกันแน่ งั้นเราไปลองเล่นกันเลยดีกว่า!~

เราได้รับบทเป็น Envoy หรือนักทูต มือขวาของจักรพรรดิ ที่ต้องมาจัดการปัญหาโรคระบาด Dreamscourge ที่ทำให้เห็ดงอกออกมาจากคน สัตว์ และพืช สึ่งสิ่งมีชีวิตที่โดนโรคนี้จะเสียการควบคุมตัวเองเหมือนซอมบี้ใน The Last of Us

ในชั่วโมงแรกของเกมนี้ ก็เปิดมาด้วย cutscene เล่าเนื้อเรื่องผ่านภาพ ตามด้วยเกาะร้าง tutorial ที่สอน mechanics ต่างๆ ในเกม โชว์ระบบ combat หรือระบบ dialogue ที่มีความเป็น CRPG สูงเหมือนภาคก่อนๆ โชว์การคุยและซักถาม NPC ได้ยาวๆ หรือการใช้ stat check ในการสนทนา
และยังมี choice เล็กๆ ให้เลือก เพราะเราจะได้พบกับนักโทษที่โดนจำคุกอยู่ในเกาะร้างแห่งนี้ แต่ในห้องขังเค้ามีศพทหารอยู่ข้างใน เค้าอ้างว่าเค้าไม่ได้ฆ่า และเค้ารู้ว่าเราจะออกจากเกาะนี้ได้อย่างไร สึ่งเรามีตัวเลือกว่าจะช่วยเค้าดี หลอกเอาเบาะแสเรือ หรือฆ่าเค้าตรงนั้นเลยและหาเรื่อเองก็ได้

ส่วนตัวเราคิดว่าเค้าจั่วหัวเรื่องได้น่าสนใจ แต่พอได้คุยกับเพื่อนๆ หลายๆ ท่าน ก็ทำให้เราคิดได้ว่า อือ เราคงชินกับความยะเนิบๆ ของการเล่าเรื่องแบบ Obsidian ด้วยแหละ ถ้าใครไม่ชอบแนว slowburn ขอให้เปิดใจให้เวลาเกมสักนิด
เราว่าทางทีมงาน Avowed เค้าเลือกที่ bait เราด้วยระบบเกมเพลย์ที่มันส์มาก กับแมพที่ออกแบบมาดีทำให้เราวิ่งหาของตลอดเวลา สึ่งเปิดเกมมาก็มีกล่องให้เก็บเยอะแยะมากมายจนชินเป็นนิสัย ก่อนที่จะปล่อยหมัดฮุกเรื่อง plot ที่ทำดาเมจเราแรงจนวางเกมไม่ลงเลย

ชอบภาษาที่เค้าใช้ใน dialogue หรือว่าโน้ตและหนังสือที่สามารถเก็บได้ในเกม มันฟังดูเป็นธรรมชาติและลื่นหู ส่วนตัวพล็อตภาพรวมก็เขียนออกมาได้ยอดเยี่ยม ยิ่งเล่น ยิ่งเห็นผลของการกระทำของตัวละครของเรา
สึ่งตัวเกมนั้นมันมี theme ใหญ่ๆ ถึงสามอย่างด้วยกันเลย
- การล่าอาณานิคม และผลกระทบของราษฎรพื้นเมือง ที่มีทั้งคนที่ต้องการเอกราช และคนที่เห็นดีเห็นงามกับการกระชับมิตรระหว่างเกาะเล็กๆ แบบ The Living Lands และอาณาจักรใหญ่แบบ Aedyr
- เกมนี้พูดถึงไอเดียของ Mother Nature (แปลเป็นไทยไม่ถูกแหะ) ได้ดี สึ่งตัวเกมนั้นได้พูดถึงความสัมพันธ์ของความอยู่รอดของคนและธรรมชาติ เราจะเห็นทั้งการอยู่แบบกลมกลืนและเคารพ หรือการทำลายธรรมชาติเพื่อเห็นผลในวันนี้ แต่ไม่ได้แคร์วันข้างหน้า
- การต้องเผชิญหน้ากับปัญหา และความไม่เพิกเฉยต่อหน้าที่และการเลือกทางของชีวิตเราเอง ก็เป็นอีกอย่างที่เห็นได้ชัดทั้งเกมผ่านตัวละครเรา และตัวละครอื่นๆ
สามอย่างนี้ได้ถ่ายทอดออกมาได้เยี่ยมเลย ทั้งใน Main Quests ที่ค่อยๆ เดือดขึ้นเรื่อยๆ และมี choice ที่ค่อยๆ หน้าปวดหัวมากขึ้น หรือจะเป็นใน Side Quests ต่างๆ ที่เราได้เจอในการเดินทางครั้งนี้

สึ่งตัวเกม Avowed จะไม่ลืมสิ่งที่คุณเลือก จำนักโทษที่เราพูดถึงตอนแรกได้ไหม? ใช่แล้ว ถ้าคุณช่วยเหลือเค้า เค้าก็จะช่วยคุยใน Side Quest ตัวนึง และคุณก็จะเห็นเค้าโผล่มาเรื่อยๆ ตามเมืองต่างๆ ในเกม
และไม่ใช่แค่เค้า ทุก NPC ที่เราคุยด้วย ไม่ว่าจะเควสหลัก เควสรอง หรือเควสที่ไม่ได้อยู่ใน Quest Log (มีเยอะมาก ต้องฟังดีๆ) จะโผล่มาเล็กน้อยเรื่อยๆ เราจะเห็น impact ที่เรามีต่อเค้า ว่าเค้าเอาคำแนะนำเราไปทำอะไร หรือชะตากรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในเกมนี้
ถ้า Undertale never forgets, Avowed ก็คือเกมที่ always remember เหมือนกัน

ในทุกการการผจญภัยมันขาดเพื่อนไม่ได้อยู่แล้ว สึ่งใน Avowed เราก็จะได้พบกับ Companions รักสี่คน อย่าง:
- Kai ชายหนุ่มน่ารักอบอุ่น ที่มีแผลในใจลึกๆ กับความต้องการโอกาศครั้งที่สอง
- Marius นักล่ามือโปร ผู้มีปัญหา panic ทำให้เค้านั้นหวั่นได้ทุกเมื่อ
- Giatta นักวิจัยวิญญาณที่เป็น prodigy แต่ความกดดันเหล่านั้นทำให้เค้าไม่มั่นใจในตัวเอง
- Yatzli ยายขนปุยขี้เสี้ยน ที่มีความอยากรู้อยากเห็นอะไรไปหมด (ขี้เจือกนั้นแหละ)

ทุกตัวละครมีความน่ารักเป็นของตัวเอง และเราก็อดหยุดฟังทุกคนคุยกันใน camp ไม่ได้ (ตลกเวลาด่ากันเอง) เนื้อเรื่องของสี่คนนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า เค้าคือเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของเราจริงๆ และทุกคนมีเหตุผลที่ต้องไปกำจัด Dreamscourge กับเรา
ทุกตัวละครมี quip และการพูดถึงเหตุการต่างๆ เยอะมาก ทำให้เราสามารถรู้จักเค้าผ่านทั้ง ambient dialogue การคุยในแคมป์หรือว่าใน cutscene ที่ในหลายๆ ครั้งเราสามารถถามความเห็นพวกเค้าได้ มันทำให้เราผูกพันกับตัวละครได้ดีเลยละ

แต่ก็น่าเสียดายที่อาจจะแจกบทให้ Giatta น้อยไปนิด เพราะ character ของน้องนั้น ทางทีมงานวางมาให้เหมือนว่าน้องจะอยู่ในตี้ตลอด เพราะส่วนใหญ่แล้ว development ของน้องจะมาจากการเดินรอบแมพด้วยกัน

ส่วนตัวคอมแบทของเกมนั้น มันเกมเพลย์ที่ดีที่สุดที่ Obsidian ทำมาแล้ว
นอกจากชอยส์ของบิวท์ที่มีให้เลือกอย่างเยอะ ทีมงานได้ทำการบ้านมาอย่างดีในเรื่อง First Person ปกติเราว่าเกมที่มีมุมมอง FPS มันทำระบบเวทย์กับฟันดาบได้ยาก เพราะเรื่อง impact ของดาบกับเวทย์มันต้องดูมีน้ำหนัก มุมกล้องแบบ FPS มันถ่ายทอดตรงนี้ลำบาก
แต่ใน Avowed ทุกอย่างมันมี impact เรารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของดาบผ่าน animation ความแรงของเวทย์มนแบบในรูปข้างบน หรือการยิงหัวแบบคมๆ ของปืน arbuequs ซาวด์ที่เลือกใช้มันส่งผลต่อตรงนี้เหมือนกัน เพราะมันบาดหูบาดใจ ทำให้ทุกอย่างมันโบ๊ะบะ และลงตัว เล่นได้เรื่อยๆ ไม่น่าเบื่อ

แต่พิมพ์มาขนาดนี้แล้ว และพูดเรื่องคอมแบทมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องมาถึงจุดที่อ่อนที่สุดของเกมนี้แล้วละ นั้นก็คือ ระบบอัพเกรด Gear นั้นเอง
ถามว่ามันแย่ขนาดนั้นไหม เอาจริงๆ ไม่หรอก แต่ด้วยเวลาและยุคที่เปลี่ยนไป ระบบ crafting แบบ Souls มันดูเก่าๆ จืดๆ มาก เพราะต้องมานั่งหา material และทำให้การเปลี่ยนบิวท์ลำบากพอตัว เลยรู้สึกว่าดีไซน์ออกมาได้ล้าหลังไปนิด
อย่างไรก็ตามแต่มันก็เป็นก้าวที่ Obsidian สะดุดเล็กน้อยและไม่ได้มีผลกระทบกับความสนุกที่เราได้รับจากเกมนี้ในภาพรวม

ถึงแม้ระบบนั้นจะไม่ค่อยโดน แต่ก็ยังมีนู้นนี้จิปาถะที่ทำให้เกมสนุกขึ้น
อย่างที่บอกเกมนี้มี ambient quest หรือ เควสที่ไม่ขึ้น log เยอะมาก อาศัยเราได้ยินคุณพูดเอา มีทั้งฮา ทั้งเศร้า และทั้ง impact กะเนื้อเรื่องแบบที่เราอาจจะไม่คาดคิด
ตัวอย่างคือมี ambient quest อันนึง เมียน้อยใจผัว คิดว่าผัวโยนสร้อยแต่งงานทิ้ง แต่ผัวอ้างว่าโดนปล้น เล่นไปเรื่อยๆ เราจะไปเจอสร้อยอันนี้อยู่กับศพของโจร ที่จริงมันเป็น equipment ให้ stat ไม่ใช่ quest item แต่ถ้าอ่าน item description ดีๆ จะรู้ว่า อ้าว สร้อยแต่งงานนี่หว่า เราสามารถเอาไปคืนผัวได้ และถ้าเรากลับมาหาสองคนนี้ทีหลัง ก็จะพบว่าเค้าสองคนคืนดีกัน happy ending ฟุดๆ

หรือจะเป็นระบบล่าค่าหัว และ Treasure Map ที่ให้เราตามเก็บเงินและของดีๆ สึ่งแต่ละอันถ้าอ่าน map หรือ bounty description แล้ว ไม่ได้แค่ตลกอย่างเดียว แต่มันจะมี hint ด้วย ไม่ต้องพึ่งไกด์อะไรในการหาเลย
แถมเกมนี้ยังมีระบบ parkour ที่ทำออกมาได้เนียนมาก เหมือนได้เล่น Assassin's Creed 555+

และไม่ต้องพูดถึงกราฟฟิกที่อย่างที่เห็นในรูปทั้งหมด มันออกมาสวยมาก ชอบการเกลี่ยสีของเกมนี้ มันทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้นและมี contrast ที่เห็นได้ชัด โดยเฉพาะตอนอยู่ในโซนที่แห้งแล้ง แต่มีพืชอยู่รำไร
Obsidian ก็ยังใช้ environmental storytelling จากการวางของ วางโน้ต เล่าเรื่องได้ดีเหมือนเดิม และชอบตรงที่ยิ่งเราเล่นไปลึกเท่าไหร่ โซนที่เราไปยิ่งดูโทรมมากขึ้น มันเสริมธีมหลักเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของเกมได้อย่างดี
แถมยังมีเพลงประกอบที่เหมาะกับเกมในทุกๆ ฉาก จาก combat ไปถึงธีมหลัก ที่ทำออกมาได้ไพเราะ

โดยภาพร่วมแล้ว Avowed อาจจะไม่ใช่เกมที่ดีที่สุด มันยังมีจุดบอดอยู่ในความเนิบๆ ของเนื้อเรื่องช่วงแรก หรือระบบอัพเกรดของที่ดูเก่าไป
แต่ Avowed มันเป็นเกมที่ Obsidian รู้ว่าอยากให้มันเป็นเกมยังไง มันไม่ใช่ Skyrim ที่เป็น RPG ที่มีความเป็น immersive sim ที่ตัวเราจะทำอะไรก็ได้ แต่มันเป็น RPG ที่เราต้อง roleplay เป็นท่านทูตที่เค้าส่งมาแก้ปัญหาจริงๆ และชอยส์ในเกมมันก็เป็นอย่างนั้น เรามีอิทธิพลต่อทุกสิ่งจริงๆ ทั้งกับคนที่เราเจอในเกม และเกมการเมืองที่เกิดขึ้นในเกาะ The Living Land และมันอยู่ที่ว่า เราจะใช้อิทธิพลนี้ในทางไหน
เกมมันไม่ได้ตายตัวให้เราเป็นคนดี และให้ option เราเยอะมาก แต่ระวังละ เท่าที่ไปแอบส่อง possible outcomes ของเกมนี้ "เกมมันจะไม่ลืมว่าเราทำอะไรไว้จริงๆ"

บอกเลยโค่นเกมนี้สำหรับเรายากมากปีนี้ สำหรับเราผู้ที่รักเกมของค่าย Obsidian อยู่แล้ว เราคิดจริงๆ ว่านี้คือ ที่สุด ของค่ายนี้ มันทำให้เราอยากเล่น The Outer Worlds 2 ในปลายปีนี้มากๆ
เราว่าเกมนี้สมกับคำว่า Instant Classic จริงๆ ค่ะ
5/5